วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553

Patient ~ ความอดทน

4397


รัก...อดทนนาน
ความรักอันบริสุทธิ์นั้น เป็นความรักที่ปราศจากเงื่อนไข เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ และเป็นความรักอันประเสริฐ ความรักแบบนี้นั้นเราแทบไม่เห็นในมนุษย์ซึ่งมีความบาป มีกิเลสซึ่งเป็นบาปที่มารนั้นโปรดปรานที่สุด เพราะมันทำให้มนุษย์นั้นถูกล่อลวงไปในทางที่ผิดบาปได้ง่ายที่สุด แต่ในพระคัมภีร์นั้น ได้บ่งบอกไว้ถึงลักษณะของความรักที่เราสามารถประพฤติตามได้ และเมื่อเรากระทำตามที่พระคัมภีร์ได้มีบันทึกไว้นั้น เราจะพบกับความชื่นชมยินดีในความรักที่เรามีต่อผู้อื่นด้วยความแช่มชื่นใจ


ความรักย่อมอดทนนาน ความรักคือ ความเมตตา ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ
(1 โครินธ์ 13:4-6)
+ความเมตตา คือ ให้ผู้อื่นด้วยใจ อย่างจริงใจ ไม่คิดหวังอะไร ให้ด้วยใจบริสุทธิ์
+ไม่อิจฉา คือ  ไม่คิดว่าผู้อื่นดีกว่า ไม่เห็นว่าตัวเองต่ำต้อยกว่า
+ไม่โอ้อวด คือ ไม่ยกตนข่มท่าน ไม่อวดเบ่งว่าฉันเหนือกว่า หรือคนอื่นด้อยกว่า
+ไม่หยิ่งผยอง คือ ไม่ลำพองว่าตนนั้นเก่งกาจ ทระนงตัวจน หูบอด ตาบอด ไม่รับฟังใคร ไม่เห็นใครในสายตา
+ไม่หยาบคาย คือ ไม่กล่าววาจาที่ทำร้ายใจผู้อื่น ไม่คิดหยาบกับผู้อื่น ไม่กระทำพฤติกรรมหยาบกับผู้อื่น
+ไม่เห็นแก่ตัว คือ ไม่เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น รับประโยชน์ทุกอย่างเข้าตัว แต่ไม่เคยเผื่อแผ่อะไรให้ใคร
+ไม่ฉุนเฉียว คือ ไม่ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ ต้องพยายามโกรธให้ช้า และใช้เหตุผลให้มากกว่าอารมณ์
+ไม่ช่างจดจำความผิด คือ เมื่อสิ่งใดเกิดขึ้นแล้วมีการพูดคุยกันเข้าใจ ปรับความเข้าใจกันแล้ว อย่าพยายามขุดคุ้ยเรื่องเดิมๆขึ้นมาเป็นข้ออ้างชวนทะเลาะ หรือเอาเรื่องเก่ามาเพิ่มเรื่องเข้าไป เมื่อเราให้อภัยในความผิดนั้นๆแล้ว จงลืมความผิดนั้นไปซะ อย่าจดจำ และพยายามมองส่วนดีของกันและกันให้มาก
ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง
(1 โครินธ์ 13:7)
และจงดำเนินชีวิตในความรักเหมือนดังที่พระคริสต์ได้ทรงรักเรา และทรงประทานพระองค์เองเพื่อเราให้เป็นเครื่องถวาย และเครื่องบูชาอันเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า
(เอเฟซัส 5:2)
"เมื่อคุณเริ่มคิดว่าคุณรักใครมากเกินไปจงรู้ไว้คุณอาจยังรักเขาไม่มากพอ"
"เพราะสิ่งมีค่าที่สุดในโลกนี้คือ ความรัก
และสิ่งที่สามารถซื้อความรักได้คือ การรักยิ่งกว่า"

วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553

Haughty ~ ความเย่อหยิ่ง

post-4752-1187070030


    ความเย่อหยิ่งนั้น โดยส่วนมากมักเกิดจากการที่คนๆนั้นรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรสำเร็จไปเสียหมด รู้สึกว่าตัวเองอยู่เหนือกว่าใครๆทั้งหมด ข่มแหงรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าเสมอๆ และกลัวความล้มเหลวมากเสียจน ไม่ยอมรับฟังอะไรจากใครเลย เมื่อเป็นเช่นนั้นความเสียหายจากความเย่อหยิ่งที่เกิดจากการคิดยกย่องตัวเองก็นำมาซึ่งการทำลายตัวเองในที่สุด


ความเย่อหยิ่งเดินหน้าการถูกทำลายและจิตใจที่ยโสนำหน้าการล้ม

( สุภาษิต 16 : 18 )

    ส่วนจิตใจที่ยโสโอหัง หรือความอหังการ (Ego-Self) นั้น คือการทะนงตนว่าตัวเองนั้นเก่งกาจสามารถจนไม่เห็นหัวใคร และมองว่าผู้อื่นด้อยกว่าตัวเองเสมอ แล้ววันหนึ่งความเย่อหยิ่งและยโส ทะนงตน ก็จะเปิดเผยซึ่งจุดบกพร่องของผู้ที่เย่อหยิ่งนั้นและได้รับรู้ถึงบทเรียนแห่งความเย่อหยิ่งนั้นว่า มันค่อยๆทำลายความสัมพันธ์ของตนเองกับบุคคลรอบข้างอย่างร้ายกาจ จนในที่สุดก็แทบจะถูกตัดขาด หรือกันออกไปจากกลุ่มสังคมนั้นๆ ตามมาด้วยการเหยียดหยามจากบุคคลรอบข้างเหล่านั้น ดังพระคำในพระคัมภีร์ที่ว่า

เมื่อความเย่อหยิ่งมาถึง การหยามน้ำหน้าก็ตามมาด้วย แต่ปัญญาอยู่กับผู้ที่ถ่อมใจ

( สุภาษิต 11 : 2 )

    มันจะเป็นการดีกว่าสักเท่าไหร่ หากเราเลิกคิดที่จะยกย่องตัวเองบ้าง เลิกเย่อหยิ่ง ยโส อวดดีในพฤติกรรมที่เป็นบาป หรือ ไม่ถูกต้องซะ แล้วหันมาถ่อมใจลง ถ่อมตัวลง อ่อนน้อมต่อผู้อื่น และแสดงออกซึ่งความมีเมตตา ความเห็นอกเห็นใจที่ออกมาจากใจอย่างแท้จริง บอกเล่าถึงสิ่งที่เราได้รู้ ได้ยินได้ฟังมา อย่างผู้มีปัญญา เผื่อช่วยเหลือให้ผู้อื่นได้มีสติปัญญาเช่นเดียวกันกับที่เรารู้...หรือมากกว่า จงจำไว้เถิดว่า


" ความเย่อหยิ่งนำมาซึ่งความอับอาย แต่ความถ่อมใจนำมาซึ่งปัญญา "

:: คำอธิษฐาน ::

    ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงช่วยให้ข้าพระองค์เป็นผู้ถ่อมใจ ขอพระองค์ทรงประทานพละกำลัง และสติปัญญาแก่ข้าพระองค์ เพื่อจะมองเห็นความอหังการภายในของข้าพระองค์ และขอทรงช่วยให้ข้าพระองค์ขจัดมันออกไปจากจิตใจของข้าพระองค์ ขออย่าให้ข้าพระองค์เป็นคนเย่อหยิ่ง แต่ให้ข้าพระองค์อ่อนน้อมต่อผู้อื่น เป็นผู้รับใช้ที่พระองค์ทรงเรียก ให้กระทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ มิใช่ทำตามใจของข้าพระองค์เอง เพื่อถวายเกียรติทั้งสิ้นนั้นแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ด้วยความเต็มใจ ด้วยสุดกำลังและความสามารถในของประทานที่พระองค์ทรงประทานให้ด้วยเถิด

    ข้าพระองค์ขอทูลวิงวอน และขอขอบพระคุณพระองค์ ในนามแห่งพระมหาเยซูคริสตเจ้า อาเมน

วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553

Care ~ การดูแลเอาใจใส่

166212


CARE...
     คำๆนี้หลายๆคนใช้บ่อยเป็นอาจิณ จนบางที ไม่ได้นึกถึงความหมายของมันเท่าที่ควรจะเป็น...


CARE...
     แปลว่าการดูแลเอาใจใส่ เป็นห่วงเป็นใย ซึ่งใครหลายๆคนลืมเลือนคำนี้ไปจากหัวใจ หลายๆคน ปล่อยให้คำๆนี้เป็นแค่ลมปากเป่า ทั้งๆที่ความหมายนั้น ยิ่งใหญ่และลึกซึ้ง

     ในหลายๆครั้ง คนเรานั้นมักขาดการเอาใจใส่ เพราะเห็นถึงสิ่งอื่นที่เรียกว่าผลตอบแทน มากกว่าสิ่งที่กำลังดูแลหรือทำอยู่ เข้าทำนองที่ว่า "คนเรามักจะหมกหมุ่นในสิ่งที่ต้องการ มากกว่าสิ่งที่ต้องทำ" หรือไม่ที่ขาดการเอาใจใส่ ก็เพราะรู้สึกมองไม่เห็นถึงผลกำไรหรือผลที่จะได้รับจากการดูแลเอาใจใส่นั้น จนละเลยหรือมองข้ามความละเอียดอ่อนของการเอาใจใส่ในสิ่งที่ตนกำลังกระทำอยู่

     "เอาใจใส่" คำๆนี้บอกอยู่แล้วตรงตัว คือ เอา "ใจ" ใส่ลงไปในสิ่งที่เราทำ ที่เราได้รับมอบหมาย ที่เราดูแล แต่เมื่อ "ใจ" ไม่ได้ใส่ไว้กับสิ่งที่ทำสิ่งที่ดูแล ทุกอย่างก็ไม่เกิดผลอันดีกับใครหรือสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ดูแล หรือคนที่ได้รับการดูแล ผู้ที่กระทำ หรือสิ่งที่กำลังถูกกระทำ ซึ่งนั่นก็หมายถึงความสำเร็จที่จะไม่มีวันเกิดขึ้น หรือเกิดก็ไม่ได้ผลอันน่าชื่นชม

ในพระคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาใหม่มีการกล่าวถึงเรื่องทำนองนี้ว่า

จงเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้าที่อยู่กับท่าน จงเอาใจใส่ดูแล ไม่ใช่ด้วยความฝืนใจ แต่ด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่ด้วยการเห็นแก่ทรัพย์สิ่งของอันเป็นมลทิน แต่ด้วยใจพร้อม

(1 เปโตร 5:2)

     ดังนั้นนี่จึงเป็นเรื่องสำคัญประการหนึ่งที่เราทุกคนจำเป็นต้องมี และต้องกระทำ มากกว่าการคิดถึงผลพลอยได้จากสิ่งที่เราต้องทำหรือต้องดูแล คือ เอาใจใส่ในสิ่งที่ท่านกำลังกระทำ หรือคนที่ท่านต้องดูแล อย่างเต็มใจ อย่างสุดใจ และสุดกำลัง เพื่อให้เกิดผลที่ดีทั้งตัวผู้ดูแล และผู้ที่ได้รับการดูแล ให้เกิดผลดีทั้งตัวผู้กระทำ และสิ่งที่ถูกกระทำ

เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงระวังตัวให้ดี และจงรักษาฝูงแกะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงตั้งท่านไว้ให้เป็นผู้ดูแล และเพื่อจะได้บำรุงเลี้ยงคริสตจักรของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงไถ่ด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง

(กิจการของอัครทูต 20:28)

     เมื่อเราไม่เห็นแก่ประโยชน์ของตนแต่เพียงฝ่ายเดียว ความทุ่มเท ความรัก ความเอาใจใส่ก็จะเกิดขึ้น การให้ด้วยความเต็มใจจะเกิดขึ้น การมีน้ำใจให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือจะเกิดขึ้น ความละเอียดอ่อนจะเกิดขึ้น และการเอาใจใส่อย่างเต็มกำลังก็จะเกิดขึ้นเช่นกัน

เหตุฉะนั้นถ้าได้รับการเร้าใจประการใดในพระคริสต์ ถ้ามีการหนุนใจประการใดในความรัก ถ้ามีส่วนประการใดกับพระวิญญาณ ถ้ามีการรักใคร่เอ็นดูและเห็นอกเห็นใจประการใด ก็ขอให้ท่านทำให้ความยินดีของข้าพเจ้าเต็มเปี่ยม ด้วยการมีความคิดอย่างเดียวกัน มีความรักอย่างเดียวกัน มีใจรู้สึกและคิดพร้อมเพรียงกัน

(ฟีลิปปี 2:1,2)

 

อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆด้วย ท่านจงมีน้ำใจอย่างนี้ เหมือนอย่างที่พระเยซูคริสต์ทรงมีด้วย

(ฟีลิปปี 2:4,5)

 

:: คำอธิษฐาน ::

     ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งจักรวาล ขอสาธุการแด่พระองค์ ขอพระองค์ทรงกำชับในใจข้าพระองค์ให้เห็นถึงสิ่งที่น่ารังเกียจแห่งการแสวงหาผลประโยชน์จากผู้อื่น และให้ข้าพระองค์มีใจเมตตา และดูแลเอาใจใส่ในกิจการที่ข้าพระองค์ทำ เอาใจใส่ในผู้คนที่ข้าพเจ้าดูแล ด้วยความเต็มใจ เหมือนที่องค์พระเยซูคริสต์ได้ทำให้แก่ประชากรของพระองค์ ให้ข้าพระองค์มีใจถ่อมลงเพื่อยังผลดีให้เกิดในการได้รับใช้พระองค์ เพื่อถวายเกียรติทั้งสิ้นแด่พระองค์ เพื่อให้ประจักษ์ถึงการทรงพระชนม์อยู่ของพระองค์ และเป็นทางสว่างแก่ผู้ที่กำลังตกอยู่ในความมืดมิดในใจของเขาด้วยเถิด

     ข้าพระองค์ขอทูลวิงวอนและขอขอบพระคุณพระองค์ ในนามแห่งพระมหาเยซูคริสตเจ้า อาเมน

 

วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553

Sin ~ ความบาป

lucifer

บาป 4 ชนิดที่ต้องเอาชนะ

1.บาปเพราะความเกลียดชัง
     ความเกลียดชังนั้นเป็นบาปที่ร้ายแรง เพราะมันมักนำมาซึ่งความชั่วร้ายอื่นๆเสมอ อย่างน้อยก็ทำให้เรารู้สึกเป็นทุกข์ อย่างมากก็ต้องแตกหัก หรือตายกันไปข้าง แล้วคุณเคยเกลียดใครหรือสิ่งใดไหม เวลาคุณอยู่ใกล้ๆคนเหล่านั้นหรือสิ่งเหล่านั้นคุณรู้สึกอย่างไร หมั่นไส้ ขยะแขยง อยากเดินออกห่าง หรือถึงขั้นทำลาย ทำร้าย ประหัดประหารกันรึเปล่า

      ความเกลียดชัง เป็นรูปแบบของความบาป ที่เรามักเห็นในหนัง Hollywood มีซาตานมาเกี่ยวข้องเสมอๆ เพราะความเกลียดชังทำให้ มารเป็นมารอยู่จนปัจจุบันกาล เมื่อเกลียดชังก็ตามมาด้วยความรู้สึกอิจฉา เมื่อคนที่เราเกลียดได้ดีกว่าตัวเรา พออิจฉาก็ตามมาด้วยริษยาคืออยากให้ตัวเราเป็นอย่างเขาด้วยวิธีการที่ไม่ถูก เพราะมัวแต่จะแก่งแย่งแข่งขันทั้งๆที่บางครั้งคนที่เราเกลียดเขานั้น อาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีคนริษยาอยู่ เมื่อถึงจุดนี้ก็จะนำพาเราไปยังบาปชนิดที่ 2 บาปที่เราทุกคนล้วนมีด้วยกันทั้งสิ้น

ความเกลียดชังเร้าให้เกิดความวิวาท แต่ความรักครอบงำบรรดาความผิดบาปเสีย

(สุภาษิต 10:12)

2.บาปเพราะความกลัว
     ความกลัว มักทำให้เราขาดการยับยั้งชั่งใจ ความกลัวทำให้คนเราเกิดความหวาดระแวง เมื่อระแวงก็เกิดความกังวล เมื่อกังวลก็เครียดและกดดัน และเมื่อถึงจุดที่เก็บกักสิ่งเหล่านี้ไว้ไม่อยู่ทุกอย่างก็ไม่ต่างอะไรกับ เขื่อนที่พังทลาย ภูเขาไฟที่ระเบิด แผ่นดินไหวที่รุนแรง หรือแม้กระทั่งซึนามิที่ถาโถมเขาใส่ผู้อื่นอย่างขาดสติ

     ความกลัว เป็นสิ่งที่เราเห็นได้ดาษดื่น อย่างน้อยก็ในตัวเรา การแสดงออกซึ่งความก้าวร้าวรุนแรง การใช้กำลังเขาทำร้ายกันและกัน หรือทำลายสิ่งของรอบข้าง หรือแม้กระทั่งการทำร้ายจิตใจกันจะด้วยการกระทำหรือคำพูดนั้น ล้วนมาจากความอ่อนแอภายในทั้งสิ้น และจริงๆแล้วคนพวกนี้น่าสงสารมากเพราะต้องพยายามสร้างกำแพงล้อมกรอบตัวเอง ขังเพื่อไม่ให้ผู้อื่นเขามาถึงตัว ถึงความอ่อนแอที่คนพวกนี้มี และความอ่อนแอนั้นก็เกิดจากความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจซึ่งเป็นบาปในชนิดที่ 3

ข้าพเจ้าได้แสวงหาพระเยโฮวาห์ และพระองค์ทรงฟังข้าพเจ้า และทรงช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากความกลัวทั้งสิ้นของข้าพเจ้า

(สดุดี34:4)


ในความรักนั้น ไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์นั้นก็ได้ขจัดความกลัวเสีย ด้วยว่าความกลัว ทำให้ทุกข์ทรมาน และผู้ที่มีความกลัว ก็ยังไม่มีความรักที่สมบูรณ์

(1 ยอห์น 4:18)

3.บาปที่เกิดจากความน้อยเนื้อต่ำใจ
     ความน้อยเนื้อต่ำใจนั้น ส่งผลกระทบกับตัวเองทางด้านจิตใจโดยตรง เพราะคนที่รู้สึกแบบนี้ตลอดเวลานั้นมักคิด และมองทุกอย่างในแง่ลบ มองว่าตัวเองไร้ค่า ไม่มีศักยภาพที่จะสร้างสรรค์อะไรขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง แล้วบางคนก็เข้าสู่วังวนของสิ่งเสพติด

     เมื่อกดตัวเองจนสุดหนทางแล้ว ก็ไม่พ้นที่จะทำร้ายตัวเอง หรือหนักกว่านั้นก็ทำร้ายทั้งตัวเองและคนอื่น ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม มัวแต่คิดว่าตัวเองเป็นไอ้ขี้แพ้ตลอดเวลา ไม่นานก็นำไปสู่บาปชนิดที่4 บาปที่ทุกคนต้องเคยทำไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

ด้วยว่าผู้ใดที่บังเกิดจากพระเจ้า ก็มีชัยชนะต่อโลก และนี่แหละเป็นชัยชนะ ซึ่งได้มีชัยต่อโลก คือความเชื่อของเราทั้งหลายนี่เอง

(1 ยอห์น 5:4)

4.บาปเพราะการทำผิด
     คนเราทุกคนนั้นทำผิดกันได้ แต่หลังจากที่ทำผิดแล้วจำเป็นต้องรู้สำนึกถึงสิ่งที่ตนได้ทำและไม่ทำให้ความผิดนั้นเกิดขึ้นอีก แต่คนเราในปัจจุบันนี้หลายๆคนไม่ได้มีความสำนึกถึงความผิดที่ตนได้ทำอยู่เลย เพราะบางครั้งก็คิดอยู่แต่ว่าไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น ทำผิดซ้ำๆซากๆอยู่ร่ำไปจนกลายเป็นนิสัย และฝั่งลึกลงไปในสันดานดั่งรากวัชพืชที่แทรกผ่านไปได้ทุกสถานที่ แผ่ขยายชอนไชจนไม่มีที่สิ้นสุด

เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงหันกลับและตั้งใจใหม่ เพื่อจะทรงลบล้างความผิดบาปของท่านเสีย เพื่อเวลาชื่นใจยินดีจะได้มาจากพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า

(กิจการของอัครทูต 3:19)

     เมื่อเป็นดังนั้นวงจรแห่งบาปทั้ง4นี้ก็จะวิ่งวนเป็นวัฏจักร และทำลายคนที่ไม่เคยสำรวจความบาปทั้ง 4 นี้ในตัวเอง กัดกร่อนความดีงามของตัวเอง พาลไปถึงผู้อื่น สิ่งอื่น สิ่งมีชีวิตอื่น และโลกใบนี้

     การให้อภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญ ให้อภัยผู้อื่น ให้อภัยตัวเอง ให้โอกาสผู้อื่นและตัวเองได้กลับใจ ได้สำนึกถึงความบาปเหล่านี้ของตนเอง เพื่อวันหนึ่งเราจะได้ไม่ต้องตื่นขึ้นมาแล้วพบว่า เรากลายเป็นอะไรที่เราไม่ได้อยากเป็นและนั่งรอเพียงลมหายใจสุดท้ายของชีวิต

พี่น้องทั้งหลาย ถ้าผู้ใดถูกครอบงำอยู่ในความผิดบาป ท่านซึ่งอยู่ฝ่ายพระวิญญาณ จงช่วยผู้นั้นด้วยใจอ่อนสุภาพให้เขากลับตั้งตัวใหม่ โดยคิดถึงตัวเอง เกรงว่าท่านจะถูกชักจูงให้หลงไปด้วย

(กาลาเทีย 6:1)

"ความบาปที่น่ากลัวที่สุดไม่ได้กระโจนเข้าใส่เราแบบฉับพลัน แต่มันจะค่อยๆคืบคลานเข้ามายามเราเผลอตัวและใจ"

หนังสือมานาประจำวัน
ฉบับ มีนาคม, เมษายน, พฤษภาคม 2007:
วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม
พันธกิจมานาประจำวันประเทศไทย
เล่มที่ 51 ฉบับที่ 12 เล่มที่ 52 ฉบับที่ 1,2

 

วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553

Change ~ การเปลี่ยนแปลง

DQDJCAKSI1FBCAVZQLJCCA1E45LPCALH92P4CACJC8WSCAS38MAWCAIF4Q3WCAP9BIZXCAVKRNC3CAWW49P8CASE7RRFCALA7VBOCA47VVZGCA6I12MVCAITC9DNCAY9OPR7CAYNMK6SCA3IF3YD

     ข้าพเจ้าอ่านหนังสือ เข็มทิศชีวิต เล่มสอง บทที่ว่าด้วย เข็มทิศแห่งความสุข ในชื่อบทความว่า อำนาจภายใน เป็นบทความที่กล่าวถึง การที่คนเราอยากจะเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมภายนอกรอบตัวของเรานั้นจำเป็นต้องเปลี่ยนปรับปรุงสิ่งที่เราเป็นภายใน เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายนอกมักเป็นภาพสะท้อนจากความจริงแท้ในใจเราเอง และทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกมักสอดคล้องกับสิ่งที่เราเป็นภายในเสมอ

     ข้าพเจ้าเคยบันทึกเรื่อง เปลี่ยน...เริ่มที่ตัวเรา ว่าด้วย หากท่านไม่เคยคิดเปลี่ยนตัวเองก่อน ท่านจะมีสิทธิ์และความสามารถอะไรที่จะไปเปลี่ยนแปลงคนอื่น หรือสิ่งอื่นรอบตัว ก็ขนาดตัวท่านเองท่านยังไม่สามารถเปลี่ยนได้ เอาชนะใจตัวเองไม่ได้ แล้วท่านจะเอาชนะใจคนอื่นได้อย่างไร ท่านจะเปลี่ยนสิ่งต่างๆรอบๆตัวได้อย่างไร

เหตุไฉนท่านจึงพูดกับพี่น้องของท่านว่า " พี่น้องเอ๋ย ให้เราเขี่ยผงออกจากตาเธอ " แต่ที่จริงท่านเองยังไม่เห็นไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่าน ท่านคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านเสียก่อน แล้วท่านจะเห็นได้ถนัด จึงเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้

(ลูกา 6:42)

     การมองเห็นความผิดพลาดของผู้อื่นนั้นช่างง่ายดาย แต่การมองเห็นความผิดพลาดของตัวเองนั้นช่างยากเย็น หรือแทบเป็นไปไม่ได้ การกระทำเช่นนี้ ไม่ได้แค่บ่งบอกว่าตัวเราเองมองทุกอย่างในมุมมองที่ผิดพลาดเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณที่เตือนตัวเราเอง ให้เห็นว่า ปัญหาของความสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นระดับพี่น้องพ้องเพื่อน คนรัก หรือครอบครัวนั้น อาจเกิดจากตัวเราเองแทบทั้งสิ้น

พระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายเป็นคำอุปมาด้วยว่า "คนตาบอดจะนำทางคนตาบอดได้หรือ ทั้งสองจะไม่ตกลงไปในบ่อหรือ

(ลูกา 6:39)

     เราเปลี่ยนแปลงคนอื่นไม่ได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเราเองได้ เปลี่ยนพฤติกรรมและทัศนคติของตัวเองได้ และเมื่อเราเปลี่ยน เราอาจจะสังเกตเห็นได้ว่า คนอื่นก็อาจเปลี่ยนแปลงท่าทีที่มีต่อเราแล้วด้วยเช่นกัน ดังนั้นการคิดทบทวนถึงสิ่งที่เราเป็นภายในยังคงจำเป็น และต้องมีวินัยในการทบทวนตัวเองอย่างสม่ำเสมอ อย่าบอกว่าท่านไม่มีเวลา เพราะเวลาที่ใช้ในการมองตัวเองนั้นสามารถทำได้ในทุกขณะจิต หากเพียงแค่ท่านจะระลึกถึงตัวตนของท่านบ้าง...สักนิด

และท่านมั่นใจว่า ท่านเป็นผู้จูงคนตาบอด เป็นความสว่างให้แก่คนทั้งหลายที่อยู่ในความมืด

(โรม 2:19)

เมื่อเราเริ่มเปลี่ยน...ทุกอย่างรอบตัวเราก็จะเปลี่ยนไปเช่นกัน

 

:: คำอธิษฐาน ::

     ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ขอพระองค์ทรงประทานคำชี้แนะแก่ข้าพระองค์ในทุกทาง เพื่อข้าพระองค์จะพบเจอแสงสว่างในทางของพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะเป็นแสงสว่างให้แก่ผู้ที่อยู่ในความมืด และขออย่าให้ข้าพระองค์หลงทาง อย่าให้ผู้ใดผู้หนึ่งที่ไม่ได้มาจากพระองค์ ทำให้ข้าพระองค์หลงทาง หรือหวั่นไหว แต่ขอพระองค์ทรงเปลี่ยนข้าพระองค์ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ และเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของผู้อื่นด้วยเถิด

     เหตุเพราะพระเกียรติสิริ พระราชอำนาจ ฤทธิ์เดช และทุกสรรพสิ่งเป็นของพระองค์มาแต่เดิมและจะเป็นของพระองค์สืบๆไปเป็นนิตย์

     ข้าพระองค์ขอทูลวิงวอน และขอขอบพระคุณพระองค์ในนามแห่งพระมหาเยซูคริสตเจ้า อาเมน

 

วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

Love ~ ความรัก

filigree-celtic-cross

     ข้าพเจ้าอ่านหนังสือ เข็มทิศชีวิต เล่มสอง บทที่ว่าด้วย เข็มทิศแห่งความรัก ในชื่อบทความว่า พลังแห่งรัก เป็นบทความที่กล่าวถึง เวลาที่คุณต้องการความรักจากใครสักคน เขาเองก็อาจกำลังต้องการความรักเหมือนกัน แล้วใครควรให้ใครก่อน และทันทีที่เรารู้ทันถึงความหมายของสิ่งที่เราต้องการนี้ เราก็ไม่จำเป็นต้องรอที่จะแสดงความรักต่อผู้อื่น ไม่ต้องรอให้ผู้อื่นมาแสดงความรักต่อเราก่อนเราถึงจะแสดงความรักตอบ และมันจะทำให้เรารู้ว่า ความรักนั้นมีอยู่รอบตัวจนแทบไม่ต้องแสวงหา เพียงเข้าใจ และเริ่มต้นที่ตัวเราเองก่อน

     ข้าพเจ้าเคยบันทึกเรื่อง ยุคแห่งการใช้ความรักสิ้นเปลือง ว่าด้วย หากพูดประโยคนี้กับสังคมสมัยนี้คงไม่ผิดนักที่จะบอกว่า...ความรักในแบบที่วัยรุ่นสมัยนี้ใช้กันนั้นช่างดาษดื่น...และไร้คุณค่ารวมถึงความหมายในคำว่า รัก อย่างสิ้นเชิง...

ความรักนั้นย่อมอดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง


( 1 โครินธ์ 13 : 4-7 )

     คนๆนึง เกิดมาและได้รัก คนอีกคนนึงตลอดช่วงชีวิต ที่มีลมหายใจกลายเป็นเรื่องล้าสมัย...รักๆเลิกๆ กลับกลายเป็นแฟชั่นที่ใครหลายคนใช้เพื่อบรรเทาสภาพจิตแห่งความเหงา...ความเศร้าซึม รักชั่วฟ้าดินสลายกลายเป็นเรื่องน้ำเน่า แต่รักแบบชั่วข้ามคืนกลับได้รับความนิยมมากขึ้นๆทุกที

ความรักของคนเป็นอันมากจะเยือกเย็นลง เพราะความชั่วช้าจะแผ่ขยายออกไป

(มัทธิว 24:12)

     การใช้คำว่ารักสิ้นเปลืองแบบนี้ดีแล้วหรือ...รักที่ต้องสูญเสียคุณค่าเพียงเพราะต้องแลกด้วย อารมณ์ใคร่ ดีแล้วหรือ...เพียงเพราะ คำว่ารักที่ไร้ความหมาย คุ้มแล้ว...จริงหรือ? อย่าทำให้ความรักกลายเป็น อาหารจานด่วนที่เปิดขายตามห้างสรรพสินค้าเลย คุณค่าของความรัก มีมากกว่านั้นเยอะ

     ทุกวันนี้...การใช้ชีวิตประจำวันเปลี่ยนไปทุกอย่างต้องเร่งรีบแข่งกับเวลา เพื่อสิ่งลวงตาภายนอกจำพวกเงินทอง ความมั่งคั่ง ลาภยศ และวัตถุที่สนองความอยาก ไม่ยกเว้นแม้แต่ความต้องการที่จะได้รับความรู้สึกดีๆ บอกความรู้สึกต่อกันและกันก็ยังเป็นไปอย่างฉาบฉวย ไร้ซึ่งรสนิยม  ไร้ซึ่งความรักความจริงใจต่อกัน และไร้ซึ่งความสุนทรีย์ภายใน

จงให้ความรักปราศจากมารยา จงเกลียดชังสิ่งที่ชั่ว จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี

(โรม 12:9)

     เวลาเราบอกรักใคร เรารู้สึกแบบนั้นจริงๆรึเปล่า หรือเพียงแค่ใครอีกคนถามเราจึงตอบ เหมือนเวลาสั่งอาหารจานด่วน บอกปุ๊ปได้รับปั๊ป แต่รสชาติเป็นยังไงไม่สน หรือแค่ต้องการอะไรจากใครอีกคน เพียงเท่านั้น... เหล่านี้ขอท่านไตร่ตรอง

ดังนั้นยังตั้งอยู่สามสิ่ง คือความเชื่อ ความหวังใจ ความรัก แต่ความรักยิ่งใหญ่ที่สุด

(1โครินธ์ 13:13)

::คำอธิษฐาน::

     ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งจักรวาล ผู้ทรงดำรงในกาลเวลา ขอพระองค์ทรงช่วยให้ข้าพระองค์บริบูรณ์พร้อมในความเชื่อ ในความหวังใจ และความรัก เพราะข้าพระองค์รู้ว่า แม้ข้าพระองค์จะบริบูรณ์สักเพียงใดก็ไม่อาจเทียบกับที่พระองค์ทรงบริบูรณ์พร้อม เพราะพระองค์ทรงรักข้าพระองค์อย่างไม่มีเงื่อนไข จนได้ส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมาเพื่อไถ่บาปให้แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน

     ขออย่าให้ข้าพระองค์ต้องเสียทั้งสามสิ่งนี้ไปแม้เพียงน้อย แต่ขอพระองค์ทรงเติมทั้งสามสิ่งให้เพิ่มขึ้นๆ ในทุกๆวันด้วยเถิด

     เพราะพระเกียรติสิริ พระราชอำนาจ ฤทธิ์เดช และทุกสรรพสิ่งเป็นของพระองค์มาแต่เดิม และจะเป็นของพระองค์สืบๆไปเป็นนิตย์

    ข้าพระองค์ขอทูลวิงวอนและขอขอบพระคุณพระองค์ในนามแห่งพระมหาเยซูคริสตเจ้า อาเมน

 

วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553

Wisdom ~ ปัญญา

brain-763982-11

     ข้าพเจ้าอ่านหนังสือ เข็มทิศชีวิต เล่มสอง บทที่ว่าด้วย เข็มทิศแห่งความสุข ในชื่อบทความว่า เผาทอง เป็นบทความที่กล่าวถึงการที่คนเราควรหมั่นสำรวจและเฝ้าดูการดำเนินชีวิตของตัวเองด้วยความจริงใจ รักษาความดีงามภายในให้คงอยู่ เหมือนดั่งเมล็ดพันธุ์ที่ดี ที่แม้จะเล็กที่สุด วันหนึ่งมันก็จะเจริญงอกงามเป็นต้นไม้ใหญ่ ในสวนชีวิตของเรา

และข้าพเจ้ายังเคยบันทึกเรื่อง ชีวิตเริ่มต้นมาจากใจ ว่าด้วยสิ่งที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน และควรระมัดระวังในการดูแลจิตใจของเราเอง เสมือนการดูแลสวนไม่ให้วัชพืชทั้งหลายที่ไม่พึงประสงค์นั้นรุกล้ำเข้ามาแผ่ขยายงอกเงยทดแทน พืชพันธุ์ที่ดีงาม คอยหมั่นกำจัดวัชพืชเหล่านั้นออกจากชีวิต และหมั่นรดน้ำพืชพันธุ์ที่ดีด้วยความใส่ใจอย่างสม่ำเสมอ  ในสวนแห่งจิตใจของเรา

แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดพืชเมล็ดหนึ่ง ซึ่งคนหนึ่งเอาไปเพาะลงในไร่ของตน เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวงแต่เมื่องอกขึ้นแล้ว ก็ใหญ่กว่าผักอื่น และจำเริญเป็นต้นไม้ จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้

( มัทธิว 13 : 31,32 )

    จากพระธรรมคัมภีร์ จากหนังสือที่ขายดีและเป็นประโยชน์ และจากที่ข้าพเจ้าได้บันทึกไว้ ความหมายที่ตรงกันอย่างแยกไม่ได้ คือ ชีวิตของคนเราอุปมาเหมือนไร่สวน ที่ตัวเรานั้นเป็นคนลงมือหว่านเมล็ดพันธุ์เล็กๆลงไป หากเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี ทุกอย่างจะงอกเงย เจิญเติบโตแผ่กิ่งก้านชูยอดแทงขึ้นสูงไปบนฟ้า ในทางกลับกัน หากเมล็ดพันธุ์นั้นเป็นเหมือนวัชพืช ก็คงเลื้อยไปตามพื้นดิน แทรกตัวไปทำลายเมล็ดพันธุ์ที่ดี และต่อให้มันอยู่สูงบนต้นไม้ต้นอื่น กิ่งก้านของมันก็จะห้อยลงตกต่ำจนถึงพื้นดินอีกอยู่ดี ซึ่งก็เป็นทิศทางที่ตรงกันข้ามอยู่แล้วระหว่างขึ้นกับลง เลวกับดี ขาวกับดำ ต่ำกับสูง

     แล้วท่านจะเลือกให้วัชพืชขึ้นในสวนแห่งจิตใจในไร่แห่งชีวิตของท่านอีกหรือ ท่านจะไม่พยายามกำจัดมันออกไปบ้างเชียวหรือ หากท่านเกียจคร้านแม้แต่จะดูแลชีวิตจิตใจของท่านเองแล้วไซร้ เมื่อความทุกข์ยาก ลำบากมาเยือน ท่านจะร้องโอดครวญไปให้ผู้ใดช่วย จงขยันในการดูแลชีวิต และจิตใจของท่านเถิด เพาะเมล็ดพันธุ์ที่ดีงามในสวนแห่งจิตใจในไร่แห่งชีวิตของท่านเถิด แล้วสิ่งดีๆจะเกิดขึ้นในชีวิตของท่าน รวมถึงสติปัญญาในการแก้ไขปัญหาในทุกๆเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของท่านด้วย

มนุษย์ผู้ประสบปัญญา และผู้ได้ความเข้าใจเป็นความสุขจริงหนอ เพราะผลที่ได้จากปัญญา ย่อมดีกว่าผลที่ได้จากเงิน และกำไรนั้นดีกว่าทองคำ ปัญญาประเสริฐกว่าทับทิม และบรรดาสิ่งที่เจ้าปรารถนาจะเปรียบกับปัญญาไม่ได้

(สุภาษิต 3:13-14)

    หากท่านต้องเลือกระหว่างความมั่งคั่งกับปัญญา จงเลือกปัญญาแล้วท่านจะมีทุกอย่างพร้อมบริบูรณ์ยิ่งกว่าความมั่งคั่งใดๆในโลก

 

::คำอธิษฐาน::

       ข้าแต่พระเจ้า พระเจ้าแห่งจักวาล สาธุการแด่พระองค์ ขอพระองค์ทรงประทานพละกำลังและสติปัญญาแก่ข้าพระองค์ เพื่อให้ข้าพระองค์รอดพ้นจากความบาปทั้งหลาย และความไม่เข้าใจในปัญหาทั้งปวง เพื่อข้าพระองค์จะได้นำสติปัญญาเหล่านั้นทำงานถวายเกียรติแด่พระองค์ และเพื่อพระราชกิจของพระองค์ และรับใช้พระองค์ตามพระประสงค์ต่อไปเถิด เพราะพระเกียรติสิริ พระราชอำนาจ ฤทธิ์เดช และทุกสรรพสิ่งเป็นของพระองค์มาแต่เดิม และจะเป็นของพระองค์สืบๆไปเป็นนิตย์

      ข้าพระองค์ขอทูลวิงวอน ในนามแห่งพระมหาเยซูคริสตเจ้า อาเมน

 

วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2553

Listening ~ การฟัง

  logojackulaarticlesmall 
   ไม่ว่าจะยุคใดสมัยใด ความขัดแย้งส่วนมากที่เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์นั้นมักเกิดจากการที่มนุษย์เราไม่ตั้งใจฟังซึ่งกันและกันอย่างจริงใจ เรามักพูดว่าความขัดแย้งทั้งหลายจะคลี่คลายได้ถ้าเราใช้ ความรัก และความเข้าใจ แล้วความเข้าใจจะเกิดขึ้นได้อย่างไรหากปราศจากการฟังที่ดี แล้วความรักจะเกิดขึ้นได้อย่างไรหากปราศจากการเข้าใจซึ่งกันและกัน

    ในหลักของกายวิภาคนั้น เราสังเกตได้จากภายนอกถึงจำนวนอวัยวะที่ต่างกันของ หู และ ปาก พระเจ้าสร้างให้มนุษย์มี 2 หู และ 1 ปาก ตั้งแต่ปฐมกาลแห่งการสร้างโลก อดัมและเอวา มนุษย์คู่แรกที่พระเจ้าทรงสร้าง ต่างมีอวัยวะในการฟัง คือ มีหู 2 ข้าง ทั้งสองคน เมื่อพระองค์ให้ทั้งสองอยู่ในสวนเอเดน ทรงประทานชีวิตและทุกอย่างให้คนทั้งสองหมดสิ้น มีเพียงพระบัญชาเดียวที่ทรงสั่งห้ามไม่ให้ทั้งสองกระทำ
    พระเจ้าทรงบัญชาแก่มนุษย์นั้นว่า "บรรดาผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้ เจ้ากินได้หมด เว้นแต่ต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่ว ผลของต้นไม้นั้นอย่ากิน เพราะวันใดที่เจ้าขืนกิน เจ้าจะต้องตายแน่"
 
(ปฐมกาล 2:16-17)
      
       แต่แล้วทั้งสองก็ไม่เชื่อฟัง ทำให้ทั้งคู่ต้องเสียสัมพันธภาพที่ดีกับพระเจ้าไป

    การฟังเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆของความเข้าใจ และสัมพันธภาพที่ดีไม่ว่าจะเป็นระดับตัวบุคคลต่อบุคคล หรือบุคคลต่อองค์กรเล็กๆไปถึงองค์กรระดับที่ใหญ่ที่สุด แต่เมื่อมนุษย์ชอบที่จะควบคุมชีวิตตัวเอง แทนที่จะไว้ใจและวางใจในพระเจ้า จึงทำให้ความคิดของตนที่พลั่งพลูออกมาจากปากนั้นเอนเอียงไปสู่หนทางแห่งหายนะ

    ในคำเทศนาขององค์พระเยซูคริสต์ ได้มีการพูดถึงเรื่องเดิมๆซ้ำๆกันหลายครั้ง นั่นก็เพื่อที่พระองค์จะแน่ใจว่าประชาชนของพระองค์มีความเข้าใจในเรื่องนั้นๆอย่างถ่องแท้ และเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขารู้และเข้าใจว่าพวกเขาต้องทำอะไรเพื่อจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรพระเจ้า จนมีคำกล่าวที่ว่า "คำเทศนาจะยังคงไม่สมบูรณ์ จนกว่าจะถูกนำไปปฏิบัติ" ซึ่งก็สอดคล้องกับสถานการณ์ของคนในปัจจุบันที่มักเข้าทำนอง ฟังแต่ไม่ได้ยิน หรือได้ยินแต่ไม่ได้ฟัง การฟังนั้นจะไม่เกิดผลใดๆเลยหากเรายังคงเป็นอยู่เช่นนี้

    ในพระคัมภีร์ไบเบิล เมื่อมีการบันทึกถึงถ้อยคำขององค์พระเยซูคริสต์ที่ได้พูดสอนแก่เหล่าสาวกและผู้ที่ติดตามนั้น มักจะขึ้นต้นด้วยประโยคที่ว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า" และมักจะลงท้ายด้วยประโยคที่ว่า "ใครมีหูจงฟัง" นั่นแสดงให้เราเห็นว่า พระองค์ทรงเน้นให้เราฟังและทำความเข้าใจ เพราะคำสอนของพระองค์ส่วนใหญ่นั้นเป็นคำอุปมา แล้วเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
    พระองค์ตรัสตอบว่า "ข้อความลึกลับแห่งแผ่นดินสวรรค์ ทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่คนเหล่านั้น ไม่โปรดให้รู้ ด้วยว่าผู้ใดมีอยู่แล้ว จะเพิ่มเติมให้ผู้นั้นมีเหลือเฟือ แต่ผู้ที่ไม่มีนั้น แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่จะต้องเอาไปจากเขา เหตุฉะนั้น เราจึงกล่าวแก่เขาเป็นคำอุปมา เพราะว่าถึงเขาเห็นก็เหมือนไม่เห็น ถึงได้ยินก็เหมือนไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ"
 
(มัทธิว 13:11-13)

    นั่นทำให้เรารู้ว่านอกจากการใช้หูซึ่งเป็นอวัยวะที่อยู่ภายนอกเพื่อการได้ยินแล้ว ยังต้องใช้ใจเพื่อการได้ยินด้วย เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจอันลึกซึ้งอย่างถ่องแท้ และพระองค์ยังได้กล่าวต่อไปอีกว่า
    ความเป็นอยู่ของเขาตรงตามคำพยากรณ์ของอิสยาห์ ที่ว่า พวกเจ้าจะได้ยินกับหูก็จริง แต่ไม่เข้าใจ จะดูก็จริง แต่จะไม่เห็น เพราะว่าชนชาตินี้กลายเป็นคนมีใจเฉื่อยชา หูก็ตึง และตาเขาก็ปิด มิฉะนั้นเขาจะได้เห็นด้วยตา และได้ยินด้วยหู และจะได้เข้าใจด้วยจิตใจ แล้วหันกลับมา และเราจะได้รักษาเขาให้หาย
 
(มัทธิว 13:14-15)

    ปัญหาของคนในสังคมปัจจุบันก็เป็นเช่นนั้น คือเฉื่อยชาต่อสิ่งที่ควรจะรับรู้และเข้าใจ แต่ดันไปตื่นเต้นกับสิ่งจอมปลอม กับคำพูดหวานหู ประจบสอพลอ หว่านล้อมด้วยคำหวานต่างๆนาๆ จนทำให้เราหลงไป ระเริงไป

    บทความแรกของข้าพเจ้าใน Blog นี้ จึงอยากจะเน้นที่การฟัง ฟังให้ได้ยิน และเมื่อได้ยินแล้วจงทำความเข้าใจ ท่านอาจบอกว่า "ฉันไม่เห็นได้ยินอะไรเลยเพราะฉันอ่านมันอยู่ฉันไม่ได้ใช้หูฟังสักหน่อย" ข้าพเจ้าอยากบอกท่านว่า "แม้นท่านไม่ได้ยินเสียงใครจากที่นี่เลย แต่อย่างน้อยท่านก็ได้ยินเสียงของตัวเองในใจ ลองฟังเสียงในใจของท่านดูก่อน ก่อนจะฟังผู้อื่น" เพราะในทางจิตวิทยา ผู้ที่ไม่ค่อยเต็มใจฟังผู้อื่นนั้น เป็นผู้ที่ไม่ยอมรับในบางสิ่งบางอย่างของตัวเอง และสำหรับคนส่วนมากการยอมรับข้อบกพร่องของตัวเอง ยากยิ่งกว่าให้เขาเหล่านั้นไปบุกน้ำลุยไฟเสียอีก

    แต่พระเจ้าทรงรักท่าน และรอให้ท่านหันกลับมาหาพระองค์ รอให้ท่านหันกลับมาคืนดีกับพระองค์ เชื่อเถอะว่า พระองค์จะทรงเป็นผู้รับฟังที่ดีที่สุด และจะตอบท่านอย่างที่ท่านเข้าใจที่สุด แล้วท่านจะรู้ว่าพระองค์นั้นเป็นผู้ฟังที่ดีขนาดไหน

    หากท่านอยากได้ยินเสียงของพระองค์ ในเวลาว่างแห่งค่ำคืนนี้ลองเปิดใจของตัวท่านออก ในที่ส่วนตัวของท่านแล้วพูดกับพระองค์ดูซิ...หากท่านไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดกับพระองค์อย่างไร นี้เป็นข้อความตัวอย่างที่จะนำท่านกลับมาสู่หนทางแห่งการคืนดีกับพระองค์ แล้วท่านจะรับรู้ได้ถึงสิ่งที่พระองค์ทรงต้องการพูดกับท่านเช่นกัน
    เพราะพระเยซูตรัสว่า "เราอยู่นี่ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปรับประทานอาหารกับผู้นั้น และเขาจะรับประทานร่วมกับเรา"
 
(วิวรณ์ 3:20)

ตัวอย่างคำอธิษฐานต้อนรับพระเยซูคริสต์

 
    ข้าแต่พระเจ้า ที่ผ่านมาข้าพเจ้าได้เข้าใจแล้วว่าข้าพเจ้าได้ใช้ชีวิตตามใจตนเอง และตกเป็นทาสของความบาป ซึ่งนำข้าพระองค์ไปสู่ความพินาศ บัดนี้ข้าพระองค์อยากใช้ชีวิตในทางของพระองค์ ขอพระองค์ทรงอภัยความผิดบาปของข้าพระองค์ และนำบาปทั้งหลายของข้าพระองค์ออกไปจากชีวิตข้าพระองค์ด้วย และข้าพระองค์ปรารถนาให้พระองค์เข้ามาครอบครองชีวิต และขอพระองค์ทรงเข้ามาประทับอยู่ในชีวิตของข้าพระองค์ และเปลี่ยนชีวิตของข้าพระองค์ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ด้วยเถิด

     ในนามแห่งพระมหาเยซูคริสตเจ้า อาเมน (ขอให้เป็นไปตามนั้น)
 
 

 

Cradit


All material on this Blog online (except where noted) Copyright © 2010 BY ::Pasittep Phaktheemapong::
+:: E-Mail ::+ jackulaazazel [at] gmail.com and jackula_azazel [at] hotmail.com
Update Skin Design By ::Jackula Azazel::