ไม่ว่าจะยุคใดสมัยใด ความขัดแย้งส่วนมากที่เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์นั้นมักเกิดจากการที่มนุษย์เราไม่ตั้งใจฟังซึ่งกันและกันอย่างจริงใจ เรามักพูดว่าความขัดแย้งทั้งหลายจะคลี่คลายได้ถ้าเราใช้ ความรัก และความเข้าใจ แล้วความเข้าใจจะเกิดขึ้นได้อย่างไรหากปราศจากการฟังที่ดี แล้วความรักจะเกิดขึ้นได้อย่างไรหากปราศจากการเข้าใจซึ่งกันและกัน
ในหลักของกายวิภาคนั้น เราสังเกตได้จากภายนอกถึงจำนวนอวัยวะที่ต่างกันของ หู และ ปาก พระเจ้าสร้างให้มนุษย์มี 2 หู และ 1 ปาก ตั้งแต่ปฐมกาลแห่งการสร้างโลก อดัมและเอวา มนุษย์คู่แรกที่พระเจ้าทรงสร้าง ต่างมีอวัยวะในการฟัง คือ มีหู 2 ข้าง ทั้งสองคน เมื่อพระองค์ให้ทั้งสองอยู่ในสวนเอเดน ทรงประทานชีวิตและทุกอย่างให้คนทั้งสองหมดสิ้น มีเพียงพระบัญชาเดียวที่ทรงสั่งห้ามไม่ให้ทั้งสองกระทำ
พระเจ้าทรงบัญชาแก่มนุษย์นั้นว่า "บรรดาผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้ เจ้ากินได้หมด เว้นแต่ต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่ว ผลของต้นไม้นั้นอย่ากิน เพราะวันใดที่เจ้าขืนกิน เจ้าจะต้องตายแน่"
(ปฐมกาล 2:16-17)
แต่แล้วทั้งสองก็ไม่เชื่อฟัง ทำให้ทั้งคู่ต้องเสียสัมพันธภาพที่ดีกับพระเจ้าไป
การฟังเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆของความเข้าใจ และสัมพันธภาพที่ดีไม่ว่าจะเป็นระดับตัวบุคคลต่อบุคคล หรือบุคคลต่อองค์กรเล็กๆไปถึงองค์กรระดับที่ใหญ่ที่สุด แต่เมื่อมนุษย์ชอบที่จะควบคุมชีวิตตัวเอง แทนที่จะไว้ใจและวางใจในพระเจ้า จึงทำให้ความคิดของตนที่พลั่งพลูออกมาจากปากนั้นเอนเอียงไปสู่หนทางแห่งหายนะ
ในคำเทศนาขององค์พระเยซูคริสต์ ได้มีการพูดถึงเรื่องเดิมๆซ้ำๆกันหลายครั้ง นั่นก็เพื่อที่พระองค์จะแน่ใจว่าประชาชนของพระองค์มีความเข้าใจในเรื่องนั้นๆอย่างถ่องแท้ และเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขารู้และเข้าใจว่าพวกเขาต้องทำอะไรเพื่อจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรพระเจ้า จนมีคำกล่าวที่ว่า "คำเทศนาจะยังคงไม่สมบูรณ์ จนกว่าจะถูกนำไปปฏิบัติ" ซึ่งก็สอดคล้องกับสถานการณ์ของคนในปัจจุบันที่มักเข้าทำนอง ฟังแต่ไม่ได้ยิน หรือได้ยินแต่ไม่ได้ฟัง การฟังนั้นจะไม่เกิดผลใดๆเลยหากเรายังคงเป็นอยู่เช่นนี้
ในพระคัมภีร์ไบเบิล เมื่อมีการบันทึกถึงถ้อยคำขององค์พระเยซูคริสต์ที่ได้พูดสอนแก่เหล่าสาวกและผู้ที่ติดตามนั้น มักจะขึ้นต้นด้วยประโยคที่ว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า" และมักจะลงท้ายด้วยประโยคที่ว่า "ใครมีหูจงฟัง" นั่นแสดงให้เราเห็นว่า พระองค์ทรงเน้นให้เราฟังและทำความเข้าใจ เพราะคำสอนของพระองค์ส่วนใหญ่นั้นเป็นคำอุปมา แล้วเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
พระองค์ตรัสตอบว่า "ข้อความลึกลับแห่งแผ่นดินสวรรค์ ทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่คนเหล่านั้น ไม่โปรดให้รู้ ด้วยว่าผู้ใดมีอยู่แล้ว จะเพิ่มเติมให้ผู้นั้นมีเหลือเฟือ แต่ผู้ที่ไม่มีนั้น แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่จะต้องเอาไปจากเขา เหตุฉะนั้น เราจึงกล่าวแก่เขาเป็นคำอุปมา เพราะว่าถึงเขาเห็นก็เหมือนไม่เห็น ถึงได้ยินก็เหมือนไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ"
(มัทธิว 13:11-13)
นั่นทำให้เรารู้ว่านอกจากการใช้หูซึ่งเป็นอวัยวะที่อยู่ภายนอกเพื่อการได้ยินแล้ว ยังต้องใช้ใจเพื่อการได้ยินด้วย เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจอันลึกซึ้งอย่างถ่องแท้ และพระองค์ยังได้กล่าวต่อไปอีกว่า
ความเป็นอยู่ของเขาตรงตามคำพยากรณ์ของอิสยาห์ ที่ว่า พวกเจ้าจะได้ยินกับหูก็จริง แต่ไม่เข้าใจ จะดูก็จริง แต่จะไม่เห็น เพราะว่าชนชาตินี้กลายเป็นคนมีใจเฉื่อยชา หูก็ตึง และตาเขาก็ปิด มิฉะนั้นเขาจะได้เห็นด้วยตา และได้ยินด้วยหู และจะได้เข้าใจด้วยจิตใจ แล้วหันกลับมา และเราจะได้รักษาเขาให้หาย
(มัทธิว 13:14-15)
ปัญหาของคนในสังคมปัจจุบันก็เป็นเช่นนั้น คือเฉื่อยชาต่อสิ่งที่ควรจะรับรู้และเข้าใจ แต่ดันไปตื่นเต้นกับสิ่งจอมปลอม กับคำพูดหวานหู ประจบสอพลอ หว่านล้อมด้วยคำหวานต่างๆนาๆ จนทำให้เราหลงไป ระเริงไป
บทความแรกของข้าพเจ้าใน Blog นี้ จึงอยากจะเน้นที่การฟัง ฟังให้ได้ยิน และเมื่อได้ยินแล้วจงทำความเข้าใจ ท่านอาจบอกว่า "ฉันไม่เห็นได้ยินอะไรเลยเพราะฉันอ่านมันอยู่ฉันไม่ได้ใช้หูฟังสักหน่อย" ข้าพเจ้าอยากบอกท่านว่า "แม้นท่านไม่ได้ยินเสียงใครจากที่นี่เลย แต่อย่างน้อยท่านก็ได้ยินเสียงของตัวเองในใจ ลองฟังเสียงในใจของท่านดูก่อน ก่อนจะฟังผู้อื่น" เพราะในทางจิตวิทยา ผู้ที่ไม่ค่อยเต็มใจฟังผู้อื่นนั้น เป็นผู้ที่ไม่ยอมรับในบางสิ่งบางอย่างของตัวเอง และสำหรับคนส่วนมากการยอมรับข้อบกพร่องของตัวเอง ยากยิ่งกว่าให้เขาเหล่านั้นไปบุกน้ำลุยไฟเสียอีก
แต่พระเจ้าทรงรักท่าน และรอให้ท่านหันกลับมาหาพระองค์ รอให้ท่านหันกลับมาคืนดีกับพระองค์ เชื่อเถอะว่า พระองค์จะทรงเป็นผู้รับฟังที่ดีที่สุด และจะตอบท่านอย่างที่ท่านเข้าใจที่สุด แล้วท่านจะรู้ว่าพระองค์นั้นเป็นผู้ฟังที่ดีขนาดไหน
หากท่านอยากได้ยินเสียงของพระองค์ ในเวลาว่างแห่งค่ำคืนนี้ลองเปิดใจของตัวท่านออก ในที่ส่วนตัวของท่านแล้วพูดกับพระองค์ดูซิ...หากท่านไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดกับพระองค์อย่างไร นี้เป็นข้อความตัวอย่างที่จะนำท่านกลับมาสู่หนทางแห่งการคืนดีกับพระองค์ แล้วท่านจะรับรู้ได้ถึงสิ่งที่พระองค์ทรงต้องการพูดกับท่านเช่นกัน
เพราะพระเยซูตรัสว่า "เราอยู่นี่ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปรับประทานอาหารกับผู้นั้น และเขาจะรับประทานร่วมกับเรา"
(วิวรณ์ 3:20)
ตัวอย่างคำอธิษฐานต้อนรับพระเยซูคริสต์
ข้าแต่พระเจ้า ที่ผ่านมาข้าพเจ้าได้เข้าใจแล้วว่าข้าพเจ้าได้ใช้ชีวิตตามใจตนเอง และตกเป็นทาสของความบาป ซึ่งนำข้าพระองค์ไปสู่ความพินาศ บัดนี้ข้าพระองค์อยากใช้ชีวิตในทางของพระองค์ ขอพระองค์ทรงอภัยความผิดบาปของข้าพระองค์ และนำบาปทั้งหลายของข้าพระองค์ออกไปจากชีวิตข้าพระองค์ด้วย และข้าพระองค์ปรารถนาให้พระองค์เข้ามาครอบครองชีวิต และขอพระองค์ทรงเข้ามาประทับอยู่ในชีวิตของข้าพระองค์ และเปลี่ยนชีวิตของข้าพระองค์ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ด้วยเถิด
ในนามแห่งพระมหาเยซูคริสตเจ้า อาเมน (ขอให้เป็นไปตามนั้น)